
เล่นไป เรียนไป เปิดโลกการเรียนรู้ด้วย Play based Learning
ทุกวันนี้ “การเรียนรู้” ของเด็กไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน หรืออยู่ในรูปแบบของหนังสือแบบฝึกหัดอีกต่อไป เพราะการ “เล่น” เองก็สามารถเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่มีคุณค่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลายครอบครัวเริ่มให้ความสำคัญกับวิธีเรียนรู้แบบใหม่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก และหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ Play based Learning
แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่ปล่อยให้เด็กเล่นตามใจ แต่เป็นการออกแบบสภาพแวดล้อมและกิจกรรมให้เด็กได้สำรวจ ทดลอง และเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงอย่างสนุกสนาน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Play based Learning ว่าคืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และเราจะเริ่มต้นนำมาใช้กับเด็กได้อย่างไรบ้าง
Play-based Learning เมื่อ “การเล่น” คือการเรียนรู้ที่ทรงพลังที่สุด
Play based Learning คือ การเรียนรู้ผ่านการเล่น เป็นแนวทางที่เชื่อว่า “การเล่น” ไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือเสียเวลา แต่คือเครื่องมือสำคัญที่จะให้เด็กได้สำรวจโลก ฝึกทักษะใหม่ และเข้าใจสิ่งรอบตัวด้วยตัวเอง การเล่นในรูปแบบนี้จึงถูกออกแบบให้เกิดการเรียนรู้จริง ไม่ใช่แค่การให้เด็กสนุกเพียงอย่างเดียว
หัวใจของแนวคิดนี้คือการให้เด็กเป็นผู้นำในการเรียนรู้ โดยมีผู้ใหญ่คอยสังเกตและสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ครูหรือพ่อแม่จะไม่เป็นคนสอนแบบตรงๆ แต่คอยจัดสภาพแวดล้อมและวางกิจกรรมที่กระตุ้นให้เด็กได้ลงมือคิด ลองผิดลองถูก และค้นพบด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้เด็กเกิดความรู้สึกร่วมและจดจำได้ดีมากขึ้น
แนวทางนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่เรียนรู้ได้ดีจากประสบการณ์ตรง มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบสำรวจ และต้องการพื้นที่ปลอดภัยในการลองผิดลองถูก เพราะมันให้อิสระทางความคิด ขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งโครงสร้างที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
ถอดรหัสองค์ประกอบ Play based Learning ที่ทำให้การเล่นมีความหมาย
แม้การเล่นจะดูเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ แต่เบื้องหลังของ Play based Learning กลับเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ถูกออกแบบอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้การเล่นนั้นกลายเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่แท้จริง เด็กไม่เพียงแค่สนุก แต่ยังได้ฝึกคิด ตัดสินใจ แก้ปัญหา และเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองและผู้อื่น องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้การเล่นไม่ใช่แค่กิจกรรม แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่วางรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตในระยะยาว ดังนี้
1. อิสระในการเลือก
การเรียนรู้ผ่านการเล่นที่มีคุณภาพเริ่มต้นจากการเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกอย่างอิสระ ว่าจะเล่นอะไร กับใคร และอย่างไร ความสามารถในการเลือกทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างแรงจูงใจจากภายใน เด็กจะรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและได้รับการยอมรับในฐานะผู้ตัดสินใจ
นอกจากนี้ การให้เด็กเลือกเองยังเป็นการฝึกทักษะชีวิต เช่น การตัดสินใจ การรับผิดชอบ และการจัดการตนเอง โดยที่ผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องชี้นำเสมอไป แต่ทำหน้าที่สนับสนุน เช่น เตรียมพื้นที่หรืออุปกรณ์อย่างเหมาะสม และคอยอยู่ใกล้ๆ เพื่อถามคำถามกระตุ้นความคิด
2. ความสนุกสนานคือหัวใจของการเรียนรู้
ความสนุกไม่ใช่เพียงองค์ประกอบเสริมของการเรียนรู้ แต่มันคือ "หัวใจสำคัญ" ที่ทำให้เด็กจดจ่อกับกิจกรรมได้นานขึ้น โดยเฉพาะกับเด็กช่วงปฐมวัย ที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากเสริมความสนุกเข้ามาด้วยจะช่วยทำให้พวกเขาอยากสำรวจ คิดค้น และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
เมื่อเด็กสนุกกับการเล่น สมองของพวกเขาจะหลั่งสารแห่งความสุข (Dopamine) ซึ่งช่วยส่งเสริมกระบวนการจดจำและเชื่อมโยงข้อมูล การเรียนรู้จึงไม่ใช่เรื่องฝืนใจ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกลมกลืนกับอารมณ์บวก เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ

3. เปิดกว้าง ไม่มีกรอบตายตัว
Play based Learning ไม่ได้จำกัดอยู่ในกฎเกณฑ์ตายตัว แต่เปิดกว้างให้เด็กได้สร้างสรรค์วิธีการเล่นในแบบของตนเอง เด็กอาจเปลี่ยนการเล่นตามจินตนาการ ปรับกติกา หรือประยุกต์สิ่งต่างๆ ให้เป็นสิ่งใหม่ๆ การไม่มีรูปแบบตายตัวนี้ทำให้เด็กได้ฝึกความคิดริเริ่มและกล้าลองผิดลองถูก
รูปแบบการเล่นที่เปิดกว้างยังช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านสถานการณ์จริง เช่น การเจรจาต่อรองกับเพื่อน การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเล่น หรือแม้แต่การยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งล้วนเป็นทักษะสำคัญในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
4. เน้นระหว่างทาง ไม่ใช่ปลายทาง
ในการเล่น เด็กอาจไม่จำเป็นต้องได้คำตอบที่ถูกต้องหรือสมบูรณ์แบบ แต่สิ่งสำคัญคือกระบวนการที่เขาได้คิด ได้ลอง ได้ล้มเหลว และได้เรียนรู้ การมุ่งเน้นที่กระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ช่วยส่งเสริมความยืดหยุ่นทางความคิด และทำให้เด็กรู้สึกว่าสามารถเติบโตจากประสบการณ์ได้
เมื่อผู้ใหญ่ให้ความสำคัญกับ “ระหว่างทาง” เด็กจะกล้าลงมือทำโดยไม่กลัวความผิดพลาด ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การยอมรับความล้มเหลวในฐานะส่วนหนึ่งของการเรียนรู้คือก้าวสำคัญของการพัฒนาอย่างมั่นคง
5. จินตนาการคือเครื่องมือแห่งการเรียนรู้
จินตนาการไม่ใช่แค่เรื่องสนุกของเด็ก แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ เด็กสามารถสมมุติเป็นตัวละครต่างๆ สร้างสถานการณ์ใหม่ๆ และออกแบบโลกใบใหม่จากความคิดของตนเอง การเล่นสมมุติบทบาทเหล่านี้ช่วยฝึกความเข้าใจในอารมณ์ ความรู้สึก และมุมมองของผู้อื่น
นอกจากนี้ การใช้จินตนาการยังเชื่อมโยงกับทักษะทางภาษา การเล่าเรื่อง และการแก้ปัญหาแบบสร้างสรรค์ เด็กจะได้ฝึกการวางแผนลำดับเหตุการณ์ การตั้งสมมุติฐาน และการเชื่อมโยงความคิดอย่างเป็นระบบ โลกแห่งจินตนาการจึงเป็นสนามฝึกฝนสมองที่เต็มไปด้วยโอกาสในการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง
ประโยชน์ของ Play based Learning ที่ซ่อนอยู่ในเสียงหัวเราะของเด็ก
Play-based Learning ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการในทุกด้าน การเล่นที่มีเป้าหมายแฝงซึ่งอยู่ในรูปแบบที่เด็กมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ จะเปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ลึกซึ้ง และยั่งยืน โดยนี่คือบางส่วนของประโยชน์ที่โดดเด่นจากกระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่น
1. ส่งเสริมการสร้างสรรค์และจินตนาการ

จินตนาการยังเป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจนามธรรม การคิดอย่างยืดหยุ่น และการมองโลกในมุมที่แตกต่าง ซึ่งล้วนเป็นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 เด็กที่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่วัยเยาว์มักเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่กล้าแสดงออก คิดเป็น และพร้อมเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างมั่นใจ
2. พัฒนาความสามารถด้านอารมณ์และสังคม
ระหว่างการเล่น เด็กจะได้พบกับสถานการณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือ แบ่งปัน แก้ปัญหากับเพื่อน หรือแม้แต่การจัดการกับความขัดแย้ง สิ่งเหล่านี้คือบทเรียนสำคัญที่ช่วยพัฒนา “ความฉลาดทางอารมณ์” และทักษะทางสังคมที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น
นอกจากนี้ การเล่นยังเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้การแสดงออกอย่างเหมาะสม เข้าใจความรู้สึกของตัวเองและของผู้อื่น ผ่านการสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติและไม่มีแรงกดดัน ซึ่งเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่ดีในอนาคต
3. ปลูกฝังทัศนคติเชิงบวกต่อการเรียนรู้
เมื่อเด็กได้เรียนรู้ผ่านการเล่น พวกเขาจะมองว่า “การเรียนรู้” ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อหรือน่ากลัว แต่เป็นสิ่งที่สนุกและท้าทายอย่างพอดี การมีประสบการณ์เชิงบวกตั้งแต่วัยเด็กจะช่วยหล่อหลอมทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ในระยะยาว
เด็กที่เคยสนุกกับการเรียนรู้ในรูปแบบของการเล่นมักเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ใฝ่รู้ เปิดรับสิ่งใหม่ และพร้อมพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพราะพวกเขาเคยได้เรียนรู้ว่า “การเรียนรู้” คือกระบวนการที่น่าค้นหา ไม่ใช่ภาระที่ต้องฝืนทน
4. เสริมสร้างทักษะด้านภาษาและการอ่านออกเขียนได้

เมื่อเด็กเริ่มเชื่อมโยงภาษาเข้ากับประสบการณ์ของตนเอง การอ่านออกเขียนได้จะไม่ใช่เพียงทักษะ แต่เป็นกระบวนการที่มีความหมายและจุดประกายความสนใจในหนังสือ เรื่องเล่า และการสื่อสารกับโลกกว้าง
5. เพิ่มทักษะการเคลื่อนไหว
Play based Learning ยังมีบทบาทในการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย โดยเฉพาะทักษะการเคลื่อนไหว เช่น การปีนป่าย กระโดด วิ่ง หรือการประดิษฐ์สิ่งของด้วยมือ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยฝึกทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างสมดุล
การเคลื่อนไหวไม่ได้เพียงแค่ส่งผลต่อสุขภาพกาย แต่ยังช่วยให้สมองพัฒนาการเชื่อมโยงที่ดีขึ้น เด็กที่ได้ขยับร่างกายขณะเล่นมักมีสมาธิดีขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น และพร้อมสำหรับการเรียนรู้ที่ต้องใช้ความตั้งใจในขั้นต่อไป
ตัวอย่างของ Play based Learning
1. สวมบทบาท แปลงร่างเป็นใครก็ได้ แล้วเรียนรู้โลกจากมุมใหม่

กิจกรรมประเภทนี้ยังช่วยให้เด็กเรียนรู้โครงสร้างของสังคมและบทบาทของอาชีพต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ยิ่งเล่นร่วมกับเพื่อน เด็กก็จะได้ฝึกการเข้าสังคม การแบ่งปัน และการแก้ปัญหาเล็กๆ ระหว่างกัน ซึ่งเป็นรากฐานของความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)
2. ทำอาหาร เสิร์ฟความรู้จากครัวเล็กๆ

นอกจากนี้ การทำอาหารยังเปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนาทักษะด้านภาษา เช่น การเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับวัตถุดิบและการอธิบายขั้นตอนการทำอาหาร เด็กที่มีประสบการณ์แบบนี้ตั้งแต่เล็ก มักจะมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เพราะพวกเขาได้ “ทำของจริง” และเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้
3. เล่นทรายเม็ดเล็กๆ สร้างจินตนาการได้ใหญ่เกินคาด

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ เด็กมักใช้จินตนาการร่วมกับการเล่นทราย เช่น การสร้างเมืองเล็กๆ ทำอาหารจำลอง หรือเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้คือการฝึกคิดอย่างยืดหยุ่นและพัฒนาทักษะการเล่าเรื่องในรูปแบบที่เด็กเข้าใจได้ง่าย
4. เกมต่อคำ หรือ เกมคำศัพท์สนุกๆ ที่เสริมทักษะภาษาแบบไม่รู้ตัว

กิจกรรมลักษณะนี้ยังช่วยกระตุ้นความคิดรวบยอดและทักษะการเชื่อมโยงความหมาย เด็กจะต้องนึกย้อนกลับไปยังคำที่เคยได้ยิน คิดหาคำที่เกี่ยวข้อง และจัดการลำดับคำในหัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษา แต่ยังเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันอีกด้วย
Play based learning VS Gamification
แม้ว่า Play based Learning จะเป็นวิธีการเรียนรู้ผ่านการเล่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่พ่อแม่ยุคใหม่ แต่ในปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ Gamification ซึ่งเป็นการ ประยุกต์ใช้ “กลไกเกม” ในการสร้างแรงจูงใจให้เด็กอยากเรียนรู้มากขึ้น
ความแตกต่างของ Gamification คือการหยิบเอากลไกของเกม เช่น การสะสมแต้ม การปลดล็อกเลเวล หรือการให้รางวัล มาใส่ในบริบทของการเรียนรู้หรือกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กได้มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่รู้สึกว่ากำลัง “ถูกสอน” ทำให้เด็กรู้สึกว่าอยากเล่นต่อ เพราะมีเป้าหมาย ท้าทาย และสนุก รวมอยู่ในตัว Gamification
แต่ไม่ว่าจะแนวทางไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ความเหมาะสมกับลูกของคุณ” เพราะแม้ Play based Learning และ Gamification จะต่างกันในรูปแบบ แต่เป้าหมายของทั้งสองก็เหมือนกัน คือ ทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุกและมีความหมาย หากลูกของคุณชอบสำรวจ ลองผิดลองถูก และเรียนรู้ด้วยตัวเอง Play based Learning อาจตอบโจทย์ แต่ถ้าลูกของคุณชอบความตื่นเต้น มีแรงจูงใจจากการแข่งขัน หรือชอบความรู้สึกของความสำเร็จเมื่อ “ผ่านด่าน” ได้ Gamification อาจเป็นคำตอบที่ใช่
KaiGai เป็น Play based learning หรือ Gamification

นอกจากนี้ KaiGai ยังมีโหมด Rocket Rush ที่ให้ผู้เรียนแข่งขันตอบคำถามกับเพื่อนแบบเรียลไทม์ เพิ่มแรงจูงใจและความตื่นเต้นในรูปแบบที่เด็กยุคนี้คุ้นเคย ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า KaiGai ไม่ได้เพียงใช้เกม “เป็นธีม” แต่ใช้ หลักการของ Gamification อย่างแท้จริง ในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ เพื่อเปลี่ยนความรู้สึกของเด็กจาก “ต้องเรียน” ไปเป็น “อยากเรียน” ได้อย่างชาญฉลาด
บริษัท เอดโนเวเตอร์ จำกัด
ห้องเลขที่ PLA.F05.D000001 ชั้นที่5 อาคารเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์
เลขที่ 444 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่
เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
065-592-4572
support@ednovator.com
terms of service
privacy notice
cookie preference